เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราเกิดมา เกิดมานี่ไม่รู้จักเกิดมาอย่างไร เด็กเกิดมาจากพ่อจากแม่ ถึงเวลาร้องไห้บังคับเอาจากพ่อแม่ด้วย ร้องไห้บังคับเอาด้วยสายใยไง ด้วยความรัก ลูกอย่างไรก็ให้ นี่ลูกนะอย่างไรก็ได้ นี่เวลาเกิดมา เห็นไหม นี่ว่าเราเกิดจากพ่อจากแม่ แต่ศาสนาว่าเกิดมาจากกรรมนะ เราเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันนะ ต้องมีสายบุญสายกรรมร่วมกันมา ไม่อย่างนั้นจะมาเกิดเป็นลูกเราเหรอ มันต้องมีสิ่งสัมพันธ์กัน ทางโลกเขาพิสูจน์ได้ด้วยดีเอ็นเอนะ กรรมพันธุ์ของพ่อของแม่หมดเลย แต่นิสัยใจคอลูกของเราแต่ละคนมันไม่เห็นเหมือนกันสักคนหนึ่ง ใจของเขาไง คำโบราณเขาบอกเลี้ยงได้แต่ตัว ใจเลี้ยงไม่ได้

แต่ศาสนานี่เลี้ยงได้ ศาสนานี่กล่อมเกลี้ยงหัวใจให้มันรักพ่อรักแม่ ความกตัญญูกตเวทีเป็นสมบัติของคนดี ถ้ามีความกตัญญูกตเวที เห็นไหม คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ จะทำอะไรก็ยั้งคิดไง ถ้าไม่มีอะไรยั้งคิดนะ คิดประสาเขา ดูสิ วัยรุ่นมันคบกันมันบอกว่าพ่อแม่น่าเบื่อมากเลย เราเป็นเพื่อนกันเราแนะนำกัน เราไปเที่ยวประสาเราดีกว่า เห็นไหม นี่ศาสนาเลี้ยงหัวใจ ตัวศาสนาถึงมีความสำคัญไง เรามาเสียสละกัน ถ้ามองทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม นี่มีแต่เสียออกไป สละออกไป เขาคิดว่าเป็นแต่วัตถุไง เราเสียสละออกไป พระไม่ทำอะไรเลย พระได้แต่รับ พระทำงานยิ่งกว่าโลกอีก

โลกทำมาหากินกันนะ ทำมาหากิน เห็นไหม ดูสิ มันก็ช่วยเหลือเจือจานกันได้ ญาติพี่น้องช่วยเหลือเจือจานกันได้ ใครตกทุกข์ได้ยากก็ช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่เวลาพระปฏิบัตินะ นั่งสมาธิก็ต้องนั่งคนเดียว มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำแต่ก็ต้องนั่งเอง เวลาเดินจงกรมก็ต้องเดินเอง ถ้าพระไม่เอาหัวใจไว้กับตัวเราเองมันจะน้อยเนื้อต่ำใจนะ เราจะมาบวชอยู่ทำไม ดูสิ ทางโลกเขามีความสนุกสนานครึกครื้นกัน เขามีแต่ความสุข พระมีแต่ทุกข์แต่ยาก ต้องบังคับตัวเองด้วยศีลด้วยธรรม เห็นไหม ถ้าด้วยศีลด้วยธรรมเพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อบังคับเอาใจตัวเองไว้ เห็นไหม ถ้าเอาใจตัวเองของเราได้

นี่คน ถ้าเอาใจของตัวเองได้มันจะเห็นใจของทุกๆ ดวงนะ จากใจดวงหนึ่งให้ใจดวงหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นะ ใจดวงนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ความสำเร็จพระอรหันต์เพราะอะไร เพราะสิ่งในหัวใจเรามันบีบคั้นนะ มันเศร้า มันหมอง มันอั้นตู้ มันมีความทุกข์ความกังวลในหัวใจทั้งนั้นเลย นี่แล้วคิดถึงสิอนาคตจะเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้จะเป็นอย่างไร นี่ถ้าเราเป็นคนมีหูมีตานะ เราเดินไปจะไม่เหยียบขวากหนามนะ ขวากหนามนะเราหลบมัน เว้นแต่เผลอ เผลอเราไปเหยียบเข้าเราก็ต้องบ่งหนามออกจากเท้าของเรา ถ้าเราเหยียบหนามขึ้นมานี่ เราจะเดินได้สะดวกสบายไหม

นี่แล้วถ้าหัวใจที่มันพาเกิดพาตายเราไม่รู้จักมัน เห็นไหม เพราะเราไม่รู้ เราหลงไป เราถึงเวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ เวียนไปเวียนมานะ ดูสิ เกิดเป็นเด็กเป็นเล็กขึ้นมานี่มีแต่ความสุขมีแต่ความพอใจ พอโตเป็นผู้รู้ขึ้นมานี่ต้องรับผิดชอบ พอโตเป็นคนเฒ่าคนแก่ขึ้นมานี่ แล้วชีวิตมันคืออะไรล่ะ แล้วมันจะไปไหนต่อไป นี่ไอ้เกิดตายเกิดตายนี่ เห็นไหม เวลาเกิดมาเป็นเด็กนี่ อู้ฮู! มีความสุขมาก เราจะเป็นผู้ใหญ่ อยากจะรับผิดชอบ อยากจะทำหน้าที่การงาน มันความเพ้อฝันของเด็ก พอเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเรารับผิดชอบขึ้นมา พอเราแก่เฒ่าขึ้นมาเราก็ไป

นี่เราว่าชีวิตนี้มันเป็นที่น่ารื่นเริง เห็นไหม เราคิดของเรานะ แต่เราไม่รู้เลยเราเกิดตายเกิดตายมากี่รอบแล้ว กี่รอบแล้วมันเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ ถ้ามันไม่เวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ชีวิตของเด็ก ความรู้สึกของเราต้องเหมือนกัน พ่อแม่บังคับให้ลูกเหมือนกันนะ ในท้องเดียวอยากให้เหมือนกันหมดเลย แล้วมันเหมือนกันไหม มันไม่เหมือนกันเพราะหัวใจมันสะสมต่างๆ กันมา จริตนิสัยต่างๆ กันมา การจริตนิสัยต่างๆ กันมา ความเห็นก็ต่างๆ เชาว์ปัญญาก็ต่างๆ กันมา ความรู้สึกต่างๆ กัน ความสิ่งอย่างนี้ที่เราเสียสละ เราเสียสละไปแล้วไม่เห็นได้อะไรมาเลย

การเสียสละไปคือการพัฒนาใจไง เห็นไหม ดูสิ พันธุกรรมของเขาเขาตัดแต่งพันธุกรรมของเขา ตัดแต่งพันธุกรรมเพื่ออะไร เพื่อให้พันธุ์พืชมันมั่นคง มันทนแล้งทนฝน มันทนต่างๆ ให้มันมั่นคง ให้มันเจริญเติบโตขึ้นมา นี่การตัดแต่ง เห็นไหม เราเสียสละขึ้นมา เราเสียสละเพื่อใคร เราเสียสละเพื่อเรานะ นี่ถ้าเราได้เสียสละขึ้นมานี่สบายใจ เราออกไปนี่เราเป็นผู้ให้ เรายังมีโอกาสได้เป็นผู้ให้นะ ถ้าผู้รับ เห็นไหม นี่เนื้อนาบุญของโลกนี่พระภิกษุรับแล้ว ถ้าไม่มีพระภิกษุเราจะทำบุญที่ไหนกัน เพราะอะไร เพราะผู้มีศีลไง เราไม่มีการแข่งขันนะ ภิกษุสละทางโลกแล้ว โลกนี้ไม่ทำเลย สิ่งที่เรื่องของโลกเสียสละหมด เสียสละออกไป นี่สิทธิของเรามี

มนุษย์เกิดมามีสิทธิเหมือนกันทั้งนั้นนะ มีสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่พระไม่ได้นะ เวลาพระบวชไปแล้วพระต้องมีศีลมีธรรมแล้ว ต้องมีกติกาแล้ว ห้ามทำ ห้าม ห้าม ห้าม ห้าม ห้ามทำทุกๆ อย่าง จะทำเหมือนโลกเขาไม่ได้ ทำเหมือนโลกเขาไม่ได้ เป็นผู้ไม่ได้แข่งขันกับโลกเขา เราเสียสละให้ผู้มีศีล ผู้มีศีลมีศีลเพื่ออะไร เพื่อหัวใจของเรา ถ้าศีลมันปกตินะ เราปกติ มือไม่มีแผลเลยมันจะทำอะไรก็ได้ มันจะหยิบยาพิษอะไรมันก็เอาไปได้ทั้งนั้นนะ ถ้ามือมันมีแผลๆ มันเข้าไปถึงร่างกายมันทำให้ถึงตายได้

ศีลถ้ามันไม่ปกติ เห็นไหม ศีลที่มันด่างมันพร้อย ศีลที่มันทะลุ ศีลที่มันขาด นี่เราก็ไม่สบายใจนะ เราไม่สบายใจ ทิฏฐิความเห็น การอยู่เสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ภิกษุทำสังฆกรรมร่วมกัน ทำอุโบสถร่วมกันเป็นอุโบสถสามัคคี แต่พูดถึงถ้ามันนานาสังวาส ต่างกันโดยศีล ต่างกันนะเขารังเกียจ มันเป็นโมฆะ มันเป็นโมฆียะ มันทำแล้วไม่ได้ผล มันไม่ได้ผลเพราะใคร เพราะเราคนเดียว เห็นไหม เราก็ไม่สบายใจ เราก็มีแผลของเรา เราเข้ากับหมู่คณะไม่ได้ความอาจหาญรื่นเริง เห็นไหม

นี่มีศีล มีศีลแล้วมีความปกติของใจ ถ้าปกติของใจ นี่โลกเขาทุกข์กันเพราะอะไร สิ่งที่แสวงหากันนี่เพราะอะไร ก็เพราะตัวนี้ เพราะสิ่งที่มันไม่ปกตินี่ ถ้ามันปกติขึ้นมาเราก็เห็น เห็นสภาวะโลกเขา แล้วความสุขที่เขาหากัน เห็นไหม ความสุขสาธารณะนะ ทุกคนมีเงินมีปัจจัยซื้อได้ทั้งนั้นนะ ธุรกิจบริการเราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ จะไปซื้อที่ไหนก็ได้ ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมดเลย แต่มีเงินมากน้อยขนาดไหนทำหัวใจให้สงบทำไม่ได้หรอก คนมีเงินมากมีเงินน้อยถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันสงบเพราะเรา มันไม่เกิดจากอามิสไง

ความสุขเกิดจากเราเอง ความสุขเกิดจากการนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่เราไม่เข้าใจ ความสุขคือการไปทัศนาจร ความสุขคือการแสวงหา ความสุขคือความพอใจของเรา อันนั้นมันเป็นความสุขโดยอามิสนะ มันได้ขึ้นมาก็พอใจ แล้วเคยได้ไปซ้ำไปซากครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ แล้วมันก็จืดชืดไป แต่สมาธิเข้าแล้วเข้าอีกนะ มันมีความสุขของมันทุกวัน เข้าสมาธิถ้ามีความสุข ความสุขหาได้ที่นี่ไง แล้วงานอย่างนี้นะ เราอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานกันเราว่าเราทุกข์เรายาก แล้วเดินจงกรมมันเครียดนะ นั่งสมาธิไม่ลงสักที โอย! นั่งจนปวด เจ็บปวด นี่มันทุกข์กว่าไหม

นี่ว่าพระไม่ได้ทำงานเลย งานของพระนั่งทีนี่ ครูบาอาจารย์เรานั่ง เห็นไหม ตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ๖ โมงเช้าถึงลุกขึ้นมานี่ ต้องบังคับตัวเองให้ได้ ต้องบังคับให้ได้ นี่เราบังคับเด็ก บังคับทุกคนบังคับได้ แพ้มันไง มันมาออดอ้อนนะ หมดเลย ควักกระเป๋าหมดเลย นี่แล้วเวลาเอาชนะตัวเอง มันมาออดมาอ้อนไหม กิเลสมันมีมาแหย่ไหม ลุกก่อนน่า เดี๋ยวไม่ไหวแล้ว มันก็มาออดมาอ้อนเราเหมือนกัน กิเลสมันก็มากล่อมเราเหมือนกัน แต่เราเอาชนะกิเลสได้อย่างไร ถ้าเราชนะกิเลส กิเลสถ้าเราชนะมันสักหนหนึ่ง เป็นการยืนยันว่า อ้าว! เราก็ชนะได้ เราชนะได้เราก็มีความสุขได้ เราก็ควบคุมตัวเราได้ พอควบคุมตัวเราได้นะ

ถ้าเราแสวงหามาปัจจัยเครื่องอาศัย เราแสวงหามานี่ถ้าเราเก็บรู้จักมัธยัสถ์ ตระกูลไหนรู้จักซ่อมแซมบำรุงรักษาของที่ใช้สอยอยู่ ตระกูลนั้นจะเจริญตลอดไป จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนไม่รู้จักถนอมรักษา ไม่รู้จักซ่อมบำรุงของใช้นะ มันจะเสื่อมสภาพไป มันจะหมดไป เราทำมาขนาดไหน ถ้าเรารู้จักเก็บ รู้จักรักษา รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ มันพอทั้งนั้นนะ การได้มากับการเสียไป การเสียไปเราจ่ายออกไป จ่ายออกมากกว่ารายรับมันก็ไม่ไหวแล้ว

แต่ถ้ามันรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ มันจ่ายไปแล้วมันจะไปเอามาจากไหน มาจากหัวใจนี่ไง มาจากรู้จักศีล รู้จักความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติได้ค่าใช้จ่ายมันไม่มีหรอก ดูสิ ดูพระฉันมื้อเดียว มื้อเดียวนี่ยังอดอาหารอีกนะ ๓ วัน ๔ วันฉันหนหนึ่ง ทางโลกบอกว่าไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ทำไมเราทำกันได้ล่ะ มันเป็นความเคยชินนะ เราเคยชินนะ ดูสิ เรากินกันนะ ๕ มื้อ ๑๐ มื้อ แต่ถ้าเราถือศีล ๘ เห็นไหม เราก็ถือ ๒ มื้อ กลางวันแค่เพล ถ้าเราถือธุดงค์เราก็เหลือมื้อเดียว แล้วมันอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้ทำไมพระเราอยู่ได้ มันอยู่ได้ทั้งนั้นนะ เพียงแต่มันเป็นวิตกวิจาร มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เห็นไหม นี่กินเพื่อกาม กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อศักดิ์ศรี

ภิกษุกินเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นล่ะ ดำรงชีวิตไว้เพื่ออะไร เพราะเห็นคุณค่าของชีวิตไง ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนะ เราใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยเกินไป ดูสิ ใช้จนกาลเวลากินตัวเองไป แล้วพอแก่เฒ่าขึ้นมาก็อยากจะปฏิบัติ อยากจะมีความสุข แล้วมันเอามาจากไหน แต่เรา เห็นไหม เราทุกวินาที ทุกเวลามีค่า การมีค่าเราต้องเคลื่อนไหวตลอด เคลื่อนไหวเพื่อเรา ทำเพื่อเรา สรรพสิ่งเพื่อเรา ก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา นี่ไงสมบัติของเราอยู่ที่นี่ สมบัติอยู่ที่ความสุขนี่ ความรู้สึกนี่ ดูสิ เขาศึกษาวิชาการกันมาเพื่ออะไร เพื่อให้มีปัญญา ปัญญาอยู่ที่ไหน ปัญญาไม่ต้องแบกไม่ต้องหาม ปัญญาอยู่ในสมอง นั่นเป็นประสาโลกนะ

แต่ถ้าปัญญาของเราล่ะ ปัญญามันรู้เท่าตัวเองนะ ปัญญาสมองนี่สมองกิเลสมันยุได้ อย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี มันก็วิ่งตามมันไป แต่ถ้าเราทันของเราเอง ทันของเราเองนะ ปัญญาในศาสนานะ ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิดของเรานี่ แล้วมีปัญญารู้เท่าความคิดนี่ แล้วความคิดมันจะยุเราได้ไหม แล้วเราจะตามความคิดเราไปได้ไหม ในเมื่อปัญญาเราครอบคลุมมันไว้ ปัญญาเราทันมันไว้ มันอยู่ในอำนาจของเรา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร นี่ถ้าเราฝึกมันจะเกิด ถ้าเราไม่ฝึกเราก็ไม่รู้ ไม่รู้นะ

ปัญญาคืออะไร ความคิดที่เราคิดกันนี่มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาวิชาชีพ มันเป็นสุตมยปัญญา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมันมีศีลมันถึงมีสมาธิ พอมีสมาธิมันถึงมีปัญญา นี่เราไม่มีสมาธินะ เราก็ใช้ปัญญาๆ กัน ตะบี้ตะบันกันใช้ปัญญา ปัญญาของกิเลสไง ปัญญาจากความรู้สึก ปัญญาจากสมอง ปัญญาสถิติ ปัญญาจากการศึกษา ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาที่เขาเอามาใช้ทำมาหากินกัน มันไม่ใช่ปัญญาฆ่ากิเลส ปัญญาฆ่ากิเลสมันอีกชั้นหนึ่ง อีกชั้นหนึ่งมันต้องมีการฝึกไง นี่ถ้าทำไปมันจะรู้ไปหมดนะ

แต่ถ้าเราไม่ทำเราจะไม่รู้เลย นี่รถจะไปนี่จะเดินหน้าถอยหลังไม่รู้ แล้วถอยหลังไปมันว่าเดินหน้านะ มันถอยหลังมันใส่เกียร์แล้วถอยหลังไป นี่บอกว่ารถวิ่งอย่างนี้ นี่ประสาคนที่ไม่รู้ ประสาคนรู้นี่มันถอยหลังนะ ไม่ใช่เดินหน้า เดินหน้ามันต้องใส่เกียร์เดินหน้า รถมันต้องวิ่งไปข้างหน้า อย่างนั้นเขาเรียกถอยหลัง

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเรามันทำให้ชีวิตเรามันหมดไป หมดไป มันถอยหลัง ถอยหลังลงคลองไง ถอยหลังให้มันหมดไปวันๆ หนึ่งไง ความถอยหลังของมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นความจริงของเราจะเป็นประโยชน์กับเรานะ นี่ศาสนามันเลี้ยงใจอย่างนี้ ศาสนาจะเป็นประโยชน์อย่างนี้ เพื่อประโยชน์ของเรานะ สิ่งนี้ถึงบอกว่าเลี้ยงเด็กเราเลี้ยงด้วยอาหาร เลี้ยงเราก็เลี้ยงด้วยใจ เลี้ยงด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง